วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553

P52

"ทุ่งโปรงทอง มหัศจรรย์ป่าชายเลน ต.ปากน้ำประแส"





***ธรรมชาติช่วยขัดเกลาจิตใจมนุษย์ได้ดีทีเดียว การเดินทอดน่องชมทุ่ง ชมธรรมชาติ ป่าเขา ลำเนาไพร และท้องทุ่งพันธ์ไม้
งาม ดอกไม้ที่มีสีสวยสดงดงามในหลายจังหวัดของประเทศไทยมีมากมาย แต่ที่ทุ่งโปรงทองกับต้นโปรงสีเขียวขจีที่จังหวัดระยองของเราก็มีดีเหมือนกัน

***ทุ่งโปรงทอง บ้านแสมผู้ หมู่7ต.ปากน้ำประแส จ.ระยอง คือจุดชมวิวอีกแห่งของ ต.ปากน้ำประแสที่นักท่องเที่ยวสามารถแวะเข้าชมได้โดยการขับรถยนต์ส่วนตัวเข้ามาทางซอยข้างโรงเรียนชุมชนวัดตะเคียนงาม (ซอยข้างวัด)เลี้ยวขวาลงไปตามทางแคบหรือจะฝากรถยนต์ไว้ที่โรงเรียนหรือวัด และใช้บริการรถพ่วงข้างของชาวบ้านทั้งยังมีบริการนั่งเรือชมหิ่งห้อย หรือจะเดินเท้าไปตามสะพานเดินชมธรรมชาติป่าชายเลนแสมผู้ ที่มีรากต้นโกงกางเป็นแหล่งอนุบาลพันธ์สัตว์น้ำ เช่น ปูแสม หรือปลานานาชนิด ทางเดินเป็นสะพานไม้ที่สร้างด้วยงบประมาณ อบจ.ระยอง สร้างไว้เมื่อปี พ.ศ. 2552 ระหว่างทางชมพืชพันธ์ธรรมชาติ และต้นไม้ป่าชายเลนหลากหลายชนิดจนเดินมาถึงจุดพักชมวิว ทุ่งโปรงทอง ที่มีใบเป็นสีเขียวอ่อน ละลานตาไปทั่วทั้งท้องทุ่งป่าชายเลน มีความงดงามละลานตาสีเขียวสว่างสดใสงดงาม นี่คือสิ่งที่ธรรมชาติปรุงแต่งออกมาให้มนุษย์ได้ชื่นชม จากนั้นเมื่อเดินต่อไปตามทางยังได้แวะสักการะเจ้าพ่อแสมผู้และไปสุดทางที่จุดชมวิวที่ยื่นออกไปในทะเลเป็นความงดงามที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ที่ชาวบ้านประแสร์ช่วยดูแลรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ดีให้อยู่คู่ชาวประแสร์ และชาวระยองไปตราบนานเท่านาน

P51

"เจ้าแม่ตะเคียน"






***“ต้นตะเคียน” อีกหนึ่งความเชื่อของคนไทยในเรื่องต้นตะเคียนจะมีนางไม้ หรือเจ้าแม่สถิตอยู่ อาจเพราะต้นตะเคียนเป็นต้นไม้โบราญที่มีอายุยืนนานนับร้อยๆปีต้นไม้หลายชนิดหักโค่นไป แต่ต้นตะเคียนยังอยู่ ผู้คนจึงนำผ้าแดงมาผูกไว้ คนที่ต้องการตัดโค่น

***ต้นตะเคียนจึงต้องทำพิธีขอกับเจ้าแม่ตะเคียนเสียก่อนจึงจะกระทำสำเร็จ หากไม่ทำพิธีขอขมา อาจต้องพบเหตุเภทภัยต่างๆนาๆ
ต้นตะเคียนคู่ ต้นสูงใหญ่ต้นนี้คาดว่ามีอายุกว่า 500 ปี อยู่ภายในวัดตะเคียนงาม หมู่ 2 ชุมชนปากน้ำประแส ต.ปากน้ำประแสร์ อ.แกลง จ.ระยองที่ทางวัดได้ดูแลรักษาและสงวนไว้ ต้นตะเคียนเจ้าแม่ และเจ้าพ่อมีลำต้นสูงใหญ่หลายคนโอบ อยู่คู่กัน ที่มีผู้ศรัทธา นำผ้าสามสีมาผูกไว้และสร้างตำหนักเจ้าแม่ตะเคียนอยู่ใกล้ต้นตะเคียน นั้น โดยมีกิ่งของตะเคียน ที่หักลงมาและถูกนำมาวางไว้ ข้างตำหนักเจ้าแม่มีเรื่องเล่าขานว่าครั้งหนึ่งที่ผู้ที่มาขอเมื่อขอกับเจ้าแม่ตะเคียนได้สมหวังแต่กลับไม่มาแก้บนตามที่ขอไว้ กิ่งจึงหักลงมาทับร่างผู้นั้นถึงแก่ชีวิตเป็นเรื่องราวที่เล่าขานสืบต่อมา ปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่ผู้คนได้เข้ามาขอโชคลาภกับเจ้าแม่ตะเคียนหรือถวายชุดสไบเครื่องแต่งกาย หรืออธิฐานแก้ด้วยการรำถวายแก้บนซึ่งเจ้าแม่ตะเคียนจะชอบมาก ตะเคียนคู่นี้ ถือเป็นความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวไทยที่สืบทอดกันมาเรื่องราวเหล่านี้ผู้คนได้กล่าวขานกันไว้ว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่”

P50

"คลื่นทะเลเงียบสงบ พระอาทิตย์ทอแสง"








***คลื่นทะเลเงียบสงบ พระอาทิตย์ทอแสง ส่องประกายสะท้อนผิวน้ำยามเย็นที่ท่าเทียบเรือหาดบ้านเพ จ.ระยอง

P49

"เที่ยวเชียงใหม่ไปกับเธอ"





***ที่สุดของฤดูกาล คงไม่มีปีใหน ที่จะได้ใจเท่าปีนี้ เริ่มจากฤดูร้อน ก็ร้อนที่สุด ถึงฤดูฝน ฝนก็ตกจนน้ำท่วม และฤดูหนาวปีนี้ กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์ว่าอากาศจะหนาวเย็นมากที่สุดในรอบ 30 ปี

***ฤดูหนาว ถือว่าเป็นฤดูแห่งการท่องเที่ยวที่สุขสบายและได้อัตถรสมากที่สุด ในประเทศไทยคงไม่มีที่ใหนหนาวเกินภาคเหนือและภาคอีสาน เริ่มการเดินทางครั้งนี้จุดหมายปลายทางอยู่ที่ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ เพื่อไปร่วมงานแต่งงาน,ที่อำเภอจอมทองแห่งนี้ มีพระธาตุจอมทอง ตั้งอยู่ภายในวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร เป็นพระธาตุประจำปีเกิด ของคนเกิดปีชวด(ธาตุน้ำ)การไหว้พระธาตุประจำปีเกิดนั้น เชื่อกันว่าเป็นมงคลต่อชีวิต มีอานิสงส์สูงและจะทำให้มีอายุยืนนาน

***เริ่มจากวันแรกออกเดินทางจากระยอง ไปรับเธอ ที่พัทยา เวลา 04.45 น. และออกจากพัทยา เวลา 06.00 น. โดยรถของเธอ ตั้งเลขไมล์ระยะทางไว้ที่ 0 กม. ขึ้นมอเตอร์เวย์ ผ่านถนนวงแหวนตะวันออก และไปเจอกับคนอื่นๆที่อยุธยา บนถนนหมายเลข 32 วิ่งตามกันไปจนถึงนครสวรรค์ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนหมายเลข 1 ไปถึง อำเภอเถิน เลยตัวอำเภอเถินไปหน่อย ( จากพัทยามาถึงตรงนี้ ระยะทาง 660 กม.) เลี้ยวซ้ายเข้าถนนหมายเลข 106 มีป้ายบอกระยะทาง ไปอำเภอลี้ 50 กม. ถนนเส้นนี้มี 2 ช่องทาง เป็นถนนสายที่คดเคี้ยวที่สุด ลัดเลาะไปตามไหล่เขา ถึงตรงนี้ถนนกว้างหน่อย หยุดพักถ่ายรูปนิดหนึ่งก่อนผ่าน อ.ลี้ ไป อ.บ้านโฮ่ง และถึงอำเภอจอมทองในเวลาต่อมา

***ถนนสายนี้มีระยะทางกว่าร้อยกิโลเมตรไม่ค่อยมีรถเลย มีแต่รถเราที่ไปกันพียง 2 คันเท่านั้นสำหรับคนที่ชื่นชอบธรรมชาติและไม่รีบร้อน ถือว่าเส้นทางสายนี้ได้กลิ่นไอของธรรมชาติมากที่สุด ( ถึงแม้จะน้อยกว่า 1867 โค้ง ของ จ.แม่ฮ่องสอนก็ตาม )ด้วยระยะทาง 800 กม. กว่า ๆ พวกเราก็มาถึงรีสอร์ทที่พัก อำเภอจอมทอง เวลา 18.35 น. เข้าห้องพักที่ว่าที่เจ้าสาวจองไว้สำหรับค่าห้องพักที่นี่ ราคา 350.- บาท มี แอร์ ทีวี พร้อม รุ่งขึ้น ตั้งขบวนแห่ขันหมากไปบ้านเจ้าสาว จนพิธีแต่งงานเสร็จเรียบร้อย รับประทานอาหารที่บ้านเจ้าสาวแล้ว เดินเข้าไปชมวัด พระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร ไหว้พระ เดินชมวัตถุล้ำค่า

***ซึ่งคนดูแลวัด พาเดินชมอธิบายถึงความเป็นมาต่างๆ พวกเราพากันถ่ายรูปอย่างเต็มที่ ก่อนไปสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ( ภาพนี้เป็นด้านหน้าของวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร ) พอเดินออกมาจะเป็นบริเวณที่มีลานจอดรถ กว้างขวางสามารถรองรับรถนักท่องเที่ยวได้ จำนวนมาก ๆ จากที่นี่จุดมุ่งหมายต่อไปคือน้ำตกแม่กลาง

***น้ำตกแม่กลางแห่งนี้ อยู่ทางทิศตะวันออกของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ตาม เส้นทางถนนหมายเลข 1009 สายจอมทอง- ดอยอินทนนท์ ประมาณหลักกิโลเมตรที่ 8 แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไป 1 กิโลเมตร ก็จะถึงน้ำตกแม่กลาง ที่นี่มีมุมสวย ๆ มากมายที่สามารถเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก เริ่มตั้งแต่ ทางขึ้นน้ำตก ไปจนถึงจุดนี้ที่ถ่ายภาพ จากจุดจอดรถเดินลงไปที่น้ำตกบริเวณนี้มีน้ำน้อย พวกเราถ่ายรูปกันบนโขดหินบ้าง บนสะพานข้ามน้ำตกบ้าง

***ออกจากน้ำตกแม่กลาง เดินทางขึ้นเขาต่อไป ตามถนน สายจอมทอง - ดอยอินทนน์ เส้นทางสายนี้ยังมีน้ำตกวชิรธาร ที่สูงและสวยไม่แพ้กัน สำหรับทางเข้านั้น อาจจะลำบากสักนิดหนึ่งถนนยังไม่ได้ลาดยาง แต่เมื่อเข้าไปถึงแล้วสวยงามมาก

***น้ำตกวชิรธาร ข้อมูลของน้ำตกแห่งนี้ มีอีกชื่อหนึ่งเรียกว่า น้ำตกตาดฆ้องโยง เกิดจากลำห้วยแม่กลาง ตั้งอยู่ในเขต อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ หลักกม.ที่ 22 ถนนสายจอมทอง - ดอยอินทนนท์ เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ สูงประมาณ 70-80 เมตร สายน้ำไหลตกจากหน้าผาลงสู่แอ่งน้ำเบื้องล่าง มีน้ำไหลตลอดทั้งปี ในยามที่แสงอาทิตย์ส่องกระทบละอองน้ำจะปรากฏสายรุ้งงดงามขึ้นเหนือธารน้ำ ตรงข้ามมีหน้าผาสูงชัน เรียกว่า “ผามอแก้ว” หรือภายหลังเรียกว่า ผาแว่นแก้ว บริเวณป้ายน้ำตกนี้ จะมีละอองน้ำสาดกระเซ็น ลงมาตลอดเวลา หันหน้าไปทางน้ำตก ด้านซ้ายมือ มีทางเดิน สามารถขึ้นไปชมน้ำตก ชั้น อื่น ๆ ได้อีกด้วย จาก น้ำตกวชิรธาร ออกรถเดินทางต่อไปตามถนนสายจอมทอง – ดอยอินทนนท์ แวะชม พระมหาธาตุนภเมทนีดล และพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ ตั้งอยู่บริเวณกิโลเมตรที่ 41.5 เขาเปิดให้เข้าชมได้ ตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.00 น.(เวลาที่ปรากฎในป้ายประกาศ) บริเวณนี้มีดอกไม้เมืองหนาวนานาชนิด เช่นกุหลาบป่า คล้ายกับภูกระดึง แต่สูงใหญ่กว่ามาก จนเรียกกันว่า "กุหลาบพันปี" และนี่คือดอกป๊อบปี้ ซึ่งเมื่อก่อนนั้นเคยเห็นแต่ดอกไม้ประดิษฐ์ ที่เขาจำหน่ายในวันทหารผ่านศึกเท่านั้น เพิ่งเคยเห็นของจริง ก็ตอนที่มาเที่ยวชม พระมหาธาตุนภเมทนีดล และ พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ นี่เอง

***สำหรับพระมหาธาตุนภเมทนีดล และ พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ แห่งนี้กองทัพอากาศสร้างพระมหาธาตุทั้งสององค์ขึ้นเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในวโรกาสทรงเจริญ พระชนมพรรษาครบ 5 รอบ ในปี พ.ศ. 2530 และ พ.ศ. 2535 บริเวณรอบองค์พระมหาธาตุฯ ประดับตกแต่งด้วยไม้ดอกเมืองหนาวอย่างสวยงาม

***เลยขึ้นไปจากพระมหาธาตุนภเมทนีดล และ พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ อีกหน่อย ด้านขวามือนั้นเป็นจุดชมวิว แต่ไม่ได้เข้าไป พวกเราขับรถตรงไปไม่ไกลนักก็ขึ้นมาถึง ยอดดอยอินทนนท์ ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของประเทศไทย บนยอดเขาแห่งนี้เมื่อจอดรถแล้ว ด้านซ้ายมือ เป็นโดมเรดาร์อากาศ ของกองทัพอากาศ ด้านขวามือ เป็นทางที่เรา เดินขึ้นไป มีป้ายบอกถึงความสูงที่สุด นั้นคือ “ สูงสุดแดนสยาม “ สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 2,565.3341 เมตร ยังไม่พอครับ เราเดินขึ้นไปอีกไม่ไกลนัก ก็พบ หลักหมุด ซึ่งบ่งบอกถึงความสูงที่สุดอยู่ตรงนี้ นี่เอง อากาศบนยอดดอยอินทนนท์หนาวเย็นมีเมฆหมอกครึ้มถึงแม้จะอยู่สูงที่สุด แต่เราไม่สามารถมองบรรยากาศไกลๆได้มากนัก เพราะมีต้นไม้ปกคลุม

***หลังจากขึ้นมาถึงจุดสูงสุด เที่ยวชมและถ่ายภาพจนเป็นที่พอใจแล้ว ถึงเวลาลงจากยอดดอยอินทนนท์ เพื่อไปติดต่อเรื่องที่พัก ที่ทำการอุทยานฯ ขับรถลงมาถึงจุดลาดชันและทางโค้ง (เลย พระมหาธาตุนภเมทนีดล และ พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ ไปหน่อย) ตรงจุดนี้มีป้ายเตือนช่วงขาขึ้นว่า “ ระวังคลัชไหม้ ” ส่วนขาลงนั้น “ ระวังเบรกไหม้ ” และรถปิคอัพของเราที่ลงเร็ว ใช้เบรกนาน เบรกก็ไหม้ไปตามระเบียบ แต่โชคดี ที่บริเวณนั้นมีจุดพักรถ พวกเราต้องเสียเวลารอจนเบรกเย็น กว่าจะลงมาถึงที่ทำการ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ก็เย็นมากแล้ว ติดต่อที่พักเสร็จ เขาให้ไปพักที่ สวนสน ซึ่งเป็นสถานที่ ที่มีเต้นท์หลังใหญ่ๆ ของอุทยานฯเขากางไว้ แต่พวกเรานำเต้นท์ไปกางเอง ที่สวนสนแห่งนี้ มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวก เช่น ก๊อกน้ำ ไว้สำหรับล้างถ้วยชาม หรือใช้ประโยชน์อื่นๆ มีห้องน้ำหลายห้อง และ ถ้าทนหนาวไม่ไหว ก็มีผ้านวมให้เช่า ในราคา 2 ผืน 100 บาท

***ยามดึกๆ ที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์แห่งนี้ หนาวสุด ๆ แต่การผิงไฟหรือเข้าไปนอนในรถ ช่วยให้หายหนาวได้พอสมควรวันรุ่งขึ้น ตื่นเช้า 9 โมงกว่าๆ ลงไปรับประทานอาหารที่อำเภอจอมทองก่อนจะไปเที่ยวบ่อน้ำพุร้อนสันกำแพง ทางไปน้ำพุร้อนสันกำแพงนั้น สวยงามไม่แพ้สถานที่ท่องเที่ยว เพราะมีทุ่งนาที่เขียวชะอุ่ม เกือบตลอดเส้นทาง งดงามจริงๆ กับธรรมชาติ ในฤดูหนาว

***ที่น้ำพุร้อนสันกำแพงแห่งนี้ เมื่อมาถึงทางเข้าซื้อบัตรผ่านประตูก่อน ราคา 30 บาท/คน ด้านหน้ามีไข่ไก่ใส่ตระกร้าเล็กๆ ขายชุดละ 20 บาท สำหรับให้นักท่องเที่ยวได้นำไข่ไปแช่น้ำร้อน ที่ขอบบ่อน้ำร้อนนี้มีตะขอไว้สำหรับแขวนตะกร้าไข่ แต่กว่าจะสุกก็นานพอสมควร เดินชมไปเรื่อยๆ ดูน้ำพุร้อนที่พวยพุ่งขึ้นไปสูงพอสมควร น้ำที่หล่นลงมานี้ก็จะไหลไปตามรางน้ำ ระดับความร้อนพอทนได้ มีนักท่องเที่ยว นั่งเอาขาแช่น้ำจำนวนมาก พวกเขาบอกว่าสามารถรักษาโรคต่าง ๆ ได้ด้วย บางคนก็เข้าไปอาบน้ำร้อนในห้องที่เขามีไว้บริการ พวกเรานั่งพักผ่อนรับทานอาหารที่นี่เรียบร้อยแล้ว ออกเดินทางจากน้ำพุร้อนสันกำแพงไปต่อที่ถนนคนเดินตัวเมืองเชียงใหม่ เดินซื้อหาข้าวของเครื่องใช้ และของที่ระลึกได้ที่นี่ เสร็จแล้วกลับไปพักที่อำเภอจอมทอง อีกหนึ่งคืน ก่อนเดินทางกลับระยองในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น “เที่ยวเชียงใหม่ไปกับเธอ” ครั้งนี้กลับถึงพัทยา และระยองโดยสวัสดิภาพ เมื่อเราและเธอช่วยกันขับรถ

P48

"พระอาทิตย์ตกที่เขาแหลมหญ้า"





***สถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ บรรยากาศดีๆ ของระยองนั้นมีหลายที่ที่สวยงาม วันนี้จะพาไปดูพระอาทิตย์ตกกันนะค่ะ อาจจะไม่สวยเท่าแหลมพงศ์เทพ แต่นี่คืออีกมุมหนึ่งของขาแหลมหญ้าจังหวัดระยองที่เป็นจุดชมวิวสวยๆ ที่คนระยองเองอาจชินตาและบรรยากาศแบบนี้เราทุกคนก็สัมผัสได้ ไม่ใช่เรื่องยาก หากแต่ว่าราหาเวลาว่างสักนิดในช่วงสุดสัปดาห์พาครอบครัวไปตั้งแคมป์ที่ “อุทยานเขาแหลมหญ้า” เพื่อเสริมสร้างสายรักในครอบครัว ตื่นมายามเช้าอากาศดีเดินออกกำลังกายสักหน่อยเราก็จะมาถึงจุดชมวิวแล้วก็มาชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าดว้ยกันหรือถ้าใครอยากสร้างบรรยากาศให้โรแมนติก ก็นี้เลยชมพระอาทิตย์ตกยามโพล้เพล้ คอนเฟิร์มได้เลยว่าสวยมากๆ นี่ไม่ใช่ราคาคุย แตถ้าอยากรู้ต้องมาพิสูจน์เองนะค่ะ

P47

"เรื่องเล่าดี ๆ ผ่านโปสการ์ด"





***เราหลายๆคนอาจลืมความรู้สึกกระดี้กระด้า เมื่อมีโปสการ์ดส่งมาถึงเรา อาจเป็นเพราะในปัจจุบันนี้มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่าง Fackbook ,Hi5 ,Twitter และอื่นๆ ที่เข้ามาในชีวิตของเรามากมายหลายอย่างทำให้ เรามองข้ามสิ่งเล็กน้อยที่มีค่ามากมายทางความรู้สึก อย่าง โปสการ์ด,จดหมาย และโทรเลขที่ต้องโบกมือลาเพื่อนร่วมชะตาไปอย่างไม่มีวันกลับ ส่วนจดหมายเราก็ส่งกันน้อยลง มาพูดถึงโปสการ์ดกันดีกว่า ยังจำได้ไหมตอนที่เราไปตั้งแคมป์ตามอุทยานในสมัยที่เราเป็นวัยรุ่น แต่ตอนนี้ก็.....ก็ ....วัยรุ่นนะ(รุ่นไหนหว่า....ช่างเถอะไม่ต้องคิดมาก) การส่งโปสการ์ดถึงตัวเองแล้วก็เพื่อนร่วมแก๊งค์ที่ไปด้วยกัน เรามักจะฝากให้ทางอุทยานเขาส่งมาให้เราพร้อมกับประทับตราประจำอุทยานแต่ละแห่งที่เราไปเที่ยว ความรู้สึกเหล่านี้คาดว่าหลายคนคงจะเคยสัมผัส ความรู้สึก และรอยยิ้มเมื่อได้รับ บางภาพอาจเดินทางมาไกลจากต่างประเทศ บางภาพก็อยู่ต่างจังหวัด แต่บางภาพก็อาจเป็นโปสการ์ดทำมือ ถ่ายเองทำเอง ภาพนี้สิยิ่งมีคุณค่าต่อความรู้สึกทั้งผู้ให้และผู้รับ ถึงแม้มันอาจดูไม่มีค่ามากมายแต่คุณค่าทางความรู้สึกมันมีมากกว่าที่คุณคิด แล้วปีนี้คุณส่งสิ่งดีๆ ที่เรียกว่าโปสการ์ดให้กับเพื่อนของคุณหรือยัง

P46

"เจ้าบ่าวงอแง เจ้าสาวนับแบ๊งค์…"







***งานแต่งของ ด.ญ.ญาณี พัดขุน (ใบบัว) และ ด.ช.คณิศร จงแจ้งกลาง(บิ๊กบิ๊ก) สองเด็กแฝด วัย 2 ขวบเศษ ที่เข้าพิธีมงคลสมรส เพื่อแก้เคล็ดตามความเชื่อแบบโบราญ ที่แฝดชายหญิงเป็นเนื้อคู่กันจึงมาเกิดพร้อมกัน และระหว่างกำลังเข้าพิธีนั้น เจ้าบ่าวก็ร้องให้จ้า ด้วยความหิวและง่วงนอนตามประสาเด็กเล็ก แต่เจ้าสาวที่นั่งรออยู่นั้นกลับนั่งนับแบ๊งค์ ที่นางสาวอัจฉรา พัดขุน มารดาส่งให้ด้วยความเพลิดเพลิน และกินขนมอย่างเอร็ดอร่อย ท่ามกลางช่างภาพ และแขกที่มาร่วมงานต่างรอคอยให้อารมณ์ของเด็กสงบนิ่ง โดยมีคุณปู่ และคุณพ่อเข้าปลอบขวัญให้หายงอแง ... นี่หละหนอเด็กน้อยที่เกิดจากความรักแท้ที่ยั่งยืนของพ่อแม่